Head GISDTDA

6 เทคนิคการนำทางด้วย Google maps เพื่อความปลอดภัย

6 เทคนิคการนำทางด้วย Google maps เพื่อความปลอดภัย

.
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินทางกลายเป็นส่วนหนึ่งชีวิตเราทุกคนไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นแผนที่จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้เราสามารถบริหารเวลา ควบคุมงบประมาณและเพิ่มความปลอดภัยสำหรับทริปของทุกคนได้
.
แอพพลิเคชั่นแผนที่ออนไลน์บนสมาร์ทโฟนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักเดินทางทั้งหลายเลือกใช้โดยเฉพาะเพื่อการนำทาง รวมถึงแอดมินเองที่ใช้แทบจะทุกโอกาสแม้กระทั้งเส้นทางกลับบ้าน เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ทราบข้อมูลเวลาที่เราจะเดินทางถึงบ้านโดยประมาณภายใต้เงื่อนไขสภาพการจราจร ณ ช่วงเวลานั้น
.
สำหรับบทความฉบับนี้แอดมินจะได้มาแบ่งปัน 6 เทคนิคในการใช้งาน Google Maps หนึ่งในแอพพลิเคชั่นแผนที่ออนไลน์ที่มีคนใช้เป็นจำนวนมาก ด้วยประสบการณ์การใช้งานจริงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของทุกคน ครอบคลุมถึงตั้งแต่การเตรียมตัวการเดินทางไปจนถึงระหว่างการเดินทาง ซึ่งอาจจะไม่ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นของแอพพลิเคชั่น Google Maps แต่แน่นอนว่าเทคนิคเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความปลอดภัย
.
1. ตรวจสอบเส้นทางด้วย Google Street View
.
ทุกครั้งที่วางแผนการเดินทางไปยังต่างจังหวัดหรือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ฟังก์ชั่น Google street view ใน Google Maps จะช่วยทำให้เราเข้าใจสภาพแวดล้อมโดยรวมของพื้นที่ เช่น สภาพและขนาดของถนน เส้นทางโค้งชันหรือโค้งหักศอก จุดสังเกตบริเวณจุดเลี้ยวสำคัญ เป็นต้น เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับคนขับหรือคนนำทางล่วงหน้าไว้ก่อน
.
2. ตรวจสอบการตั้งค่าการนำทาง
.
นับว่าเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนอาจไม่ทันจะรู้ว่าการตั้งค่าเหล่านี้จะมีผลต่อเส้นทางเมื่อเราสั่งให้ Google Maps นำทาง สำหรับเวอชั่นล่าสุดเราสามารถเลือกให้แอพพลิเคชั่นคำนวณเส้นทางโดยไม่นำเส้นทางที่อยู่ในกลุ่มทางหลวง (Highways) ทางด่วน (Tollways) และท่าเรือข้ามฟาก (Ferries) มาร่วมคำนวณด้วย กรณีที่เราเลือกให้แอพฯไม่นำเส้นทางเหล่านี้มาคำนวณด้วยนั้น ก็จะส่งผลให้เราแอพฯจะแนะนำเส้นทางขนาดเล็กหรือเส้นทางสัญจรระหว่างหมู่บ้านมาให้เรา แทนที่จะเป็นเส้นทางหลักที่ใช้เลี่ยงเมือง ก็อาจจะทำให้การเดินทางเกิดความล่าช้าขึ้นได้
.
ดังนั้นทุกครั้งก่อนเดินทางควรตรวจสอบการตั้งค่าการนำทางเพื่อให้เกิดความมั่นใจ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบในแอพ Google maps ได้ที่เมนูการตั้งค่า (Setting) > การนำทาง (Navigation) > ตัวเลือกเส้นทาง (Route options) จะปรากฏ 3 ตัวเลือกย่อย ได้แก่ เลี่ยงทางหลวง (Avoid highways) เลี่ยงค่าผ่านทาง(Avoid tolls) และเลี่ยงเส้นทางเรือ (Avoid ferries) ทั้ง 3 ตัวเลือกนี้ควรถูกปิดเอาไว้
3. ตรวจสอบเส้นทางก่อนให้แอพฯเริ่มนำทาง
หลังจากที่เรากำหนดจุดหมายปลายทางบนแผนที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรตรวจสอบเส้นทางที่แอพฯแนะนำมาให้ก่อนคร่าวๆ โดยแตะที่ปุ่ม “เส้นทาง” หรือ “Directions” หลังจากที่เราแตะหมุดของสถานที่ที่เราต้องการไป เส้นทางที่ทำเวลาดีที่สุดนั้นแอพฯจะเน้นด้วยสีน้ำเงินเข้ม ส่วนเส้นทางเลือกอื่นๆที่ใช้เวลาใกล้เคียงกันก็จะปรากฏเป็นสีฟ้าพร้อมตัวเลขเวลาที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้เราควรตรวจสอบภาพรวมของเส้นทางเหล่านี้แบบคร่าวๆและซูมดูเป็นบางจุดที่มีโค้งเยอะมากเป็นพิเศษ เพื่อให้มั่นใจว่าแอพฯจะไม่เลือกเส้นทางที่ลำบากมากจนเกินไปมาให้เรา หลังจากตรวจสอบครบทุกเส้นทางที่ถูกแนะนำ ก็ให้เรากดเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา แล้วแตะที่ปุ่ม “เริ่ม” หรือ “Start”  เพื่อเริ่มต้นการนำทาง การที่ไม่ตรวจสอบเส้นทางเสียก่อนแล้วรีบกดนำทางทันทีนั้น อาจจะมีความเสี่ยงที่ทำให้การเดินทางของเรานั้นต้องเสียเวลากับเส้นทางที่วกวนหรือเส้นทางที่ยากลำบากเกินไป
4. หมั่นเช็คจุดหมายปลายทางบนแผนที่
เมื่อเริ่มต้นการนำทางบนหน้าจอของมือถือก็จะปรากฏเพียงตำแหน่งของเรา เส้นสีน้ำเงินบนแผนที่ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผ่านการคำนวณโดยแอพฯว่าเป็นเส้นทางที่ทำเวลาได้ดีที่สุดหรือเส้นที่เราเลือกว่าเหมาะสมกับเรามากที่สุด และลูกศรนำทางที่บอกถึงทิศทางที่เราควรมุ่งหน้าไป หลายคนเชื่อในสิ่งที่แอพฯแนะนำอย่างสนิทใจโดยไม่เอะใจเลยว่า แอพฯมีโอกาสรวนและนำทางเราไปผิดทางได้เช่นกัน ซึ่งเหตุกาณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริงกับแอดมินมาแล้ว
ในระหว่างการเดินทางเชื่อว่าหลายคนจำเป็นต้องใช้งานมือถือด้วยแอพฯอื่นๆไปพร้อมกัน ซึ่งจะมีโอกาสที่มือถืออาจเกิดความร้อนสูงและเครื่องรวนได้ ส่งผลให้การนำทางในแอพฯรวนไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นกับแอดคือ จุดหมายปลายทางเปลี่ยนไปลงอีกจังหวัดหนึ่งเฉยเลย แต่โชคดีที่เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่แอดเคยวิ่งมาแล้วแต่ไม่บ่อยมาก จึงสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทัน
วิธีตรวจสอบก็ง่ายๆ แค่แตะที่ปุ่มภาพรวมเส้นทางซึ่งจะอยู่ด้านข้างปุ่ม Exit และเช็คให้มั่นใจว่าจุดหมายปลายทางบนแผนที่ยังคงเป็นสถานที่ที่เราต้องการไป ถ้าทุกอย่างถูกต้องแล้วก็แตะที่ปุ่มเดิมอีกครั้ง แผนที่ก็จะซูมกลับมาที่ตำแหน่งเราอีกครั้ง
5. แชร์ตำแหน่ง ณ ปัจจุบันของเราให้คนที่รู้จัก
ปัจจุบัน Google Maps มีฟังก์ชั่นแชร์ตำแหน่งเราแบบ Real time ให้คนที่เราเลือกได้รับทราบตำแหน่งปัจจุบันของเราในช่วงระยะเวลาหนึ่งซึ่งสามารถกำหนดได้ หรือจะแชร์ตลอดเวลาจนกว่าเราจะปิดการแชร์โลเคชั่นก็สามารถทำได้ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในด้านความปลอดภัย ทำให้คนที่อยู่ ณ จุดหลายปลายทางทราบว่าเรากำลังอยู่ที่ใด หรือจะในกรณีเดินทางเป็นหมู่คณะก็สามารถใช้ประโยชน์จากฟังก์ชั่นนี้เพื่อติดตามการเดินทางของรถในทีมได้เช่นกัน
6. ใช้เสียงนำทางแทนก้มมองแผนที่
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะแม้เสี้ยววินาทีที่เราละลายตาจากบนท้องถนนแล้วหันมามองบนหน้าจอมือถือก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ทางที่ดีกรณีที่ต้องเดินทางคนเดียวก็ควรเปิดเสียงพูดในแอพฯให้แนะนำเส้นทาง หรือถ้ามีคนเดินทางไปด้วยก็อาจจะให้ช่วยดูแลการทำงานของแอพฯอีกทาง หรือในกรณีที่เราในฐานะคนขับจำเป็นต้องตรวจสอบเส้นทางบนแผนที่อีกครั้งก็แนะนำให้จอดข้างทางแล้วค่อยทำการเช็คหรือตั้งค่าเส้นทางใหม่
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งานแอพพลิเคชั่นแผนที่ออนไลน์ Google Maps ที่กลั่นมาจากประสบการณ์การใช้งานจริงและเห็นว่าเป็นจุดสำคัญที่ไม่ควรละเลย ซึ่งแอพพลิเคชั่นแผนที่ออนไลน์เป็นผลผลิตหนึ่งจากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและอวกาศที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่มีหน้าที่ทำให้เราเกิดความสะดวกสบายมีชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนเราทุกคนเองก็มีหน้าที่ในการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีให้ถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพยสินของทุกๆคนเช่นกัน

Admin 18/1/2022 10097 2
Share :