Head GISDTDA

เมืองโบราณมาชูปิกชู (Machu Picchu)

มุมมองจากอวกาศ Image of the week around the world
เมืองโบราณมาชูปิกชู (Machu Picchu)
Serie 3 : 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ยุคใหม่ 3/7 )
พิกัด -13.163076, -72.544966
.
มาชูปิกชู (Machu Picchu) หรืออีกชื่อที่นิยมเรียกว่า “เมืองสาปสูญแห่งอินคา” (The Lost City of The Incas) ตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิสของประเทศเปรู ที่นี่เป็นซากอารยธรรมของชาวอินคา ซึ่งเป็นอารยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงชันในประเทศเปรูเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,400 เมตร ในเขตคุสโค (Cusco) เมืองอูรูบัมบา (Urubamba) ส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอนดีส ถูกสร้างโดยจักพรรดิปาชากูติ (Pachacuti) เมืองแห่งนี้มีสิ่งปลูกสร้างกว่า 200 หลัง สร้างจากหินนำมาวางเรียงต่อกันตามความชันของภูเขาในลักษณะขั้นบันไดมากกว่า 3,000 ขั้น หินแต่ละก้อนมีความพิเศษคือถูกตัดอย่างประณีตจนเรียบเนียน สามารถนำมาต่อกันได้อย่างแนบสนิท
.
อารยธรรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นและล่มสลายลงในที่สุด โดยเหตุผลและหลักฐานในการล่มสลายนั้นยังไม่แน่ชัด บ้างก็ว่าเกิดจากการบุกรุกของชาวสเปนหรือบางทฤษฎีกล่าวว่าเกิดจากการล้มตายของชาวอินคาด้วยโรคระบาดไข้ทรพิษ ซึ่งภายหลังของการล่มสลายส่งผลให้อาณาจักรแห่งนี้ถูกหลงลืมจากโลกภายนอก ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้กว่า 300 ปี จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอเมริกันนามว่า Hiram Bingham ในปี ค.ศ. 1911 มาชูปิกชูนั้นถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์จักรวรรดิอินคา แต่เหตุผลที่สร้างยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัด โดยข้อสันนิษฐานต่างๆ ยังเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น มีทั้งสร้างเพื่อเป็นที่หลบภัยของชาวอินคาจากการบุกรุกของชาวสเปน บ้างก็ว่าเป็นสถานที่บูชายัน, เป็นที่พักผ่อนของกษัตริย์และเหล่าราชวงศ์ หรือสร้างเพื่อบูชาหุบเขา เพราะชาวอินคานับถือธรรมชาติ
.
ที่นี่..!! มีเรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ มาการสันนิษฐานว่า มาชูปิกชู น่าจะเป็นที่อาศัยของนักบวชเพื่อใช้สำหรับสังเกตการณ์การโคจรของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสถานที่จำลองตำนานการเกิดโลกและจักรวาลตามความเชื่อของชาวอินคา มีจุดสังเกตคือสถานที่มีหน้าต่างซึ่งดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ตรงกลางหน้าต่างพอดีในวันสิ้นสุดของฤดูร้อนและวันสิ้นสุดฤดูหนาว อีกทั้งมีแท่นบูชายันมีไว้สำหรับเป็นหอสังเกตการณ์วงโคจรของดวงอาทิตย์อีกด้วย
.
หลังจากการค้นพบ เมืองแห่งนี้ได้รับการพูดถึงและโด่งดังไปทั่วโลก ดึงดูดนักโบราณคดีจากทุกหนแห่งเข้ามาศึกษาและทำการวิจัย จนกระทั่ง ในปี ค.ศ.1983 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกประกาศเป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) และจัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ (New 7 Wonders of the World) โดยองค์กรของสวิตเซอร์แลนด์ The New Open World Corporation (NOWC) ในปี ค.ศ.2007 จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในประเทศเปรู และอเมริกาใต้
.
นอกจากนี้ ความมหัศจรรย์อีกอย่างของสถานที่แห่งนี้คือการที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากตีนเขา ต้องอาศัยการเดินทางที่ค่อนข้างยากลำบาก ด้วยความสวยงามและการเดินทางที่ยากลำบากทำให้กลายเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องการที่จะมาพิชิตและสัมผัสด้วยตนเอง โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมคือระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน ส่วนเดือนอื่นเป็นฤดูฝน ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งรัฐบาลเปรูได้จำกัดนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน จำนวน 800 คน เพื่อรักษาความสวยงามและคงสภาพไว้ให้สมบูรณ์มากที่สุด หากแฟนเพจคนไหนเคยไปเยี่ยมชมมาแล้วสามารถส่งต่อภาพบรรยากาศที่สวยงามให้กับเพื่อนๆ สัมผัสในช่องแสดงความคิดเห็นได้นะครับ
.
ขอบคุณข้อมูลจาก                     </div>

                    <!-- ไฟล์แนบที่นี่ -->
                                                            <!-- End ไฟล์แนบที่นี่ -->

                    <div class=

phasaphong.tha 11/4/2022 14334 1
Share :